รอยยิ้ม มิตรภาพ และหัวใจที่เบิกบาน

กุ๊งกิ๊งกุ๊งกิ๊ง เสียงกระดิ่งจากคอวัว ปลุกพวกเราให้ลุกขึ้นมาแต่เช้าตรู่

แม้ ว่าสภาพอากาศข้างนอกจะเย็นแค่ไหน แต่ก็ไม่ทำให้หัวใจเราย่อท้อ ครูหลายๆคนตื่นขึ้นมาตอนเช้า บ้างถือกล้องเดินสำรวจหมู่บ้าน บ้างช่วยพ่อกับแม่ทำกับข้าว บ้างคุยทักทายกันตามอัธยาศัย แสงหมอกเริ่มจางตัวลงตามแสงแรกของวันที่กำลังส่องแสงเข้ามาเยือนหมู่บ้านแม่ ฮองกลางแห่งนี้ พร้อมกับสายลมเย็นที่พัดมาชะโลมผิวจนขนลุก หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งมีชาวบ้านชนเผ่ากะเหรี่ยงอาศัยอยู่จำนวนไม่น้อย หมู่บ้านแห่งนี้มีไม่มีไฟฟ้าใช้บางบ้านดีหน่อยมีโซล่าเซลล์ แล้วตามแต่สถานภาพของแต่ละครอบครัว แต่ทุกๆ บ้านก็ทำให้เราได้เห็นว่าพวกเขาใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้อย่างพอเพียง หลอดไฟฟ้าในแต่ละบ้านนั้นก็ใช้กันเพียงแค่หลอดเดียว ซึ่งเอาไว้ทำหน้าที่เพื่อส่องแสงสว่างในยามราตรีเท่านั้น การดำรงชีวิตยังเป็นแบบดั้งเดิมตามวิถีชีวิตของชาวบ้านทั่วๆ ไป ของชนเผ่า ซึ่งทุกชิวิตของที่นี่ก็สามารถดำรงชีวิตกันอยู่ได้ด้วยความสุข ถึงแม้ในแต่ละวันชาวบ้านแห่งนี้จะต้องออกไปทำไร่ทำนา ซึ่งส่วนมากก็ทำเพื่อเก็บเอาไว้กินเองตามฤดูกาล ยามใดที่แสงสีทองของตะวันส่องแสงรำไรๆ นั่นคือสัญญานที่บ่งบอกว่าทุกคนในครอบครัวจะต้องออกไปทำนากันแล้ว เหลือไว้ก็แต่เด็กที่ต้องไปโรงเรียน เด็กๆ ทุกคนที่นี่เติบโตกันมาได้ตามวิถีชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน และต้องรับผิดชอบต่อตัวเองเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่เด็กทุกคนที่นี่ได้รับคือความแข็งแรงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

ผู้ เขียนเองก็เคยเป็นหนึ่งของผู้คนที่เคยไปพบและประสบและได้สัมผัสชีวิตตามวิถี ชาวบ้านของหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งเริ่มแรกก็มีความคิดที่ไม่ต่างไปจากคนอื่นๆ เลย นั่นก็คือพวกเขาอยู่กันได้อย่างไรในพื้นที่เช่นนี้แต่เมื่อเราได้เข้าไปอยู่ ท่ามกลางชาวบ้านทุกครัวเรือน เมื่อเวลาได้หมุนเวียนผ่านไป เมื่อได้หันมองไปรอบๆ ตัว สิ่งที่ได้เห็นก็คือ รอยยิ้มของทุกๆ คน ในหมู่บ้านแห่งนี้นั้นทำให้เราประจักษ์ได้ว่า ณ ที่แห่งนี้นั่นแองที่คือความสุขของพวกเขา แต่ความทุกข์ คือสิ่งที่เราทุกคนต่างเป็นผู้ยัดเยียดความรู้สึกแบบนี้ให้กับพวกเขาเอง เพราะเราทุกคนต่างคิดกันเอาเองว่า ถ้าเขาได้รับความสะดวกสบายเหมือนที่เราเป็นอยู่ และเขาคงมีความทุกข์มากที่ในแต่ละวันไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อเป็นเครื่องทุ่นแรงสำหรับคนในเมืองกรุงในสมัยนี้และเหมาคิดเอาเองว่า มันคือสิ่งที่จำเป็นที่สุดในชีวิตของมนุษย์เราทุกคน เพราะฉะนั้นได้โปรดเถิด ได้โปรดอย่าเอ่ยคำว่าสงสาร พวกเขาเหล่านั้นกันเลย เพราะพวกเขาเหล่านั้นอาจจะงง ๆ กับคำว่าสงสารของเรา ว่าสงสารเขาเรื่องอะไร และได้โปรดอย่าคิดว่าเขาจะมีความทุกข์เหมือนกับเราๆ เขาอาจจะมีความสุขมากกว่าเราหลายเท่าก็ได้ และได้โปรดอย่ายัดเยียดความสุขทางด้านค่านิยมวัตถุในแบบของเราให้กับเขา มันอาจจะเป็นความสุขก็จริงแต่เราสามารถให้กับเขาได้ตลอดชีวิตหรือเปล่ากับ สิ่งฟุ่มเฟือยที่เราหลงคิดว่ามันมีประโยชน์ เช่นของกินที่หรูหรา หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ถ้าคำตอบคือไม่ ก็อย่าหยิบยื่นให้เขาเลยเพราะสิ่งที่เรียกว่าความสุข สำหรับเรา ๆ นั้นอาจจะเป็นตัวทำลายความสุขกับชีวิตของวันข้างหน้าที่เหลืออยู่ของเขาได้ เพราะเมื่อใด้ที่เขาสามารถจับต้องความสุขเหล่านั้นแล้วเชื่อว่าในทุก ๆ วันของการใช้ชีวิตนั้น ก็อยากจะได้และโหยหาความสุขแบบนี้อยู่ร่ำไป เมื่อเราให้เขา ถึงแม้จะให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ตาม ณ วันนี้เขาอาจจะมีความสุขดี แต่เมื่อใดที่เราหยุด แล้ววันที่เหลือข้างหน้าของเขาจะเป็นเช่นไร เพราะแม้แต่เรากับเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามก็อยากจะลี้กายกลับมาอยู่บ้าน ของเราแล้ว  พวกเขาก็คงจะมีความรู้สึกไม่ต่างจากเราเท่าไรนัก แต่ถ้าเมื่อที่คุณอยากจะเป็นผู้ให้ก็ขอให้ทุกๆ คน เปลี่ยนมาเป็นจากการให้ทางวัตถุมาเป็นการให้โอกาสและช่วยบรรเทาความเดือด ร้อนของพวกเขาเหล่านั้นกันดีกว่า เพราะการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันจะเป็นกลไกของกาลเวลา ซึ่งจะนำพาพวกเขาไปเจอกับสิ่งเหล่านั้นอยูแล้วขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็ว เท่านั้นเอง

ขอสนับสนุนโครงการครูอาสาที่ช่วยหยิบยื่นโอกาส เล็กๆ น้อยๆ ทางด้านการศึกษาและช่วยบรรเทาความยากลำบากของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และสำหรับคุณครูอาสาทุกท่านเราขอบอกว่าท่านมาถูกทางแล้วครับ

ขอสดุดีให้กับครูอาสาทุกๆ รุ่น และเจ้าหน้าที่ ทุกๆ คน เพื่ออุทิศให้แก่เด็กและชาวบ้านผู้ด้อยโอกาสทุกชีวิต

by Jick Gruu Ruklok on Thursday, December 15, 2011 at 10:01am


Copy Protected by Chetan's WP-Copyprotect.