ขึ้นดอยไปเดือนพฤศจิกายนนี้ เด็กโตส่วนใหญ่ไปช่วยงานตีข้าวในไร่จึงทำให้ขาดเรียนไปหลายคน สาย ๆ ของวันหนึ่งหลังจากที่สอนไปได้สักพัก และให้งานเด็ก ๆ ทำในศูนย์การเรียนฯ ผมจึงได้เดินทางไปไร่ข้าวเพื่อไปดูเด็ก ๆ ตีข้าวช่วยพ่อแม่ผู้ปกครอง
เมื่อไปถึงไร่ข้าวหลังจากที่ถามไถ่ เรื่องการเกี่ยวข้าว ตีข้าว และผลผลิตของปีนี้แล้ว ผมก็สวมวิญญาณลูกชาวนาอิสานบ้านเกิด ที่มันฝังอยู่ในสำนึก เดินเข้าไปช่วยตีข้าวในทันที
ไปเยี่ยมดูเด็ก ๆ ที่กำลังตีข้าวช่วยพ่อแม่อยู่ ๔ ที่ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ผมเข้าไปช่วยเด็กและผู้ปกครองตีข้าวไป ๒ ที่ ในการเข้าไปในไร่ข้าว เขาจะเดินผ่านสถานที่ตีข้าวไม่ได้ น้องยงยุทธเด็กที่ไปด้วย จะคอยเดือนตลอดว่าไม่ให้เดินผ่ากลางสถานที่ตีข้าว ให้เดินอ้อมไป เวลาจะกลับก็ให้กลับทางเดิม ซึ่งเป็นประเพณีความเชื่อของชุมชน
แต่ที่ผมทำผิดไปโดยไม่รู้ตัว และไม่ได้รับการเตือนก่อนคือการเข้าไปช่วยตีข้าว ๒ ที่ ที่ไปดูเด็ก ๆ ช่วยผู้ปกครองตีข้าว
ที่บอกว่าทำผิดเพราะชุมชนกะเหรี่ยงที่นั่นมีความเชื่อว่า ถ้าตีข้าวจะต้องไปตีตลอดจนกว่าจะเสร็จ ไม่เช่นนั้นแล้วจะได้ข้าวในปริมาณน้อยลง ผมก็พยายามชี้แจงกับเด็ก ๆ ว่าข้าวที่เกี่ยวมาแล้วกองอยู่ที่เดียวกัน มันจะลดลงได้อย่างไร เกี่ยวมาเท่าไหร่ ก็ได้เท่านั้น มันจะเพิ่มขึ้น หรือลดลงไม่ได้
เป็นความเชื่อประเพณีของชุมชนจริงเพราะหลังจากนั้น ผมได้รับคำแซวจากผู้ใหญ่ในชุมชนว่า “ครูไปช่วยแล้ว ต้องไปช่วยให้เสร็จนะ” ผมก็ยังนึกขำ ๆ อยู่เลย
ผมติดภารกิจสอนตามหน้าที่ จึงไม่ได้ไปช่วยตีข้าวจนเสร็จ ก็เลยถามเด็ก ๆ ว่าปัญหานี้แก้ไขอย่างไร
เด็ก ๆ บอกว่า บ้านที่ผมไปช่วยตีข้าวนั้น จะต้องหาคนอื่นในครอบครัว หรือให้ญาติพี่น้องไปทำหน้าที่แทนผม จนกว่าจะตีข้าวเสร็จ
ด้วยความหวังดีเล็ก ๆ น้อย ๆ กลายเป็นความผิดในประเพณีและความเชื่อของชุมชนเข้า ผมตั้งใจไว้ว่าปีหน้าจะขอแก้ตัวใหม่ คือไปช่วยตีข้าวจนเสร็จ