เกริ่นขึ้นต้น ถึงแม้จะเป็นคำเก่า ๆ แต่ก็สามารถใช้ได้กับคนไทยทุกยุคทุกสมัยโดยเฉพาะคนในถิ่นทุรกันดาร ๒ ครั้งใน ๒ สัปดาห์ ที่ผมได้รับความช่วยเหลือจากคนไทย เหตุการณ์ที่ผมได้รับน้ำใจจากคนไทยกำลังจะเล่าต่อไปนี้
เหตุการณ์ที่ ๑ วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๓ หลังจากกิจกรรม “พาน้องเด็กดอยเที่ยวทะเล ครั้งที่ ๒” เสร็จสิ้นผมจะเดินทางกลับไชยปราการปกติรถออกจากอมก๋อย จะเข้าเชียงใหม่จะออก เวลา ๑๔.๓๐ แต่วันนี้ผมเดินออกจากบ้านไป กะว่าเวลาแค่ ๑๐ นาทีน่าจะเพียงพอสำหรับการรอรถเมล์ ปรากฎว่าเวลา ๑๔.๒๐ ผมออกไปจากบ้านประมาณ ๓๐ เมตร มองเห็นรถเมล์ซึ่งเข้าใจว่าออกมาจากคิวรถก่อนเวลามาจอดรออยู่หน้าโรงพยาบาล อมก๋อยเรียบร้อยแล้ว สายตาผมมองเห็น พนักงานขับรถ เก็บไม้หมอนรองล้อรถออก แล้วก้าวขึ้นไปในรถ และขับออกไปผมพยายามวิ่งและตะโกนให้รถรอ แต่พนักงานขับรถ ไม่ได้ยินเสียงผม รถออกไปโดยที่ผมกิ่งวิ่งกึ่งเดินตามไป เนื่องจากมีเด็กไปด้วย ๑ คนคือน้องเบิ้ลที่ร่วมกิจกรรมเที่ยวทะเลกับเด็กดอยในครั้งนี้
ผมหมดความหวังที่จะทันรถ พลันที่รถเมล์พ้นสายตาไปได้ประมาณ ๒ นาที ก็มีรถกระบะของตำรวจออกมาจากสถานีตำรวจภูธรอมก๋อยสมองสั่งให้ผมยกมือขึ้นโบก ในทันที แต่ปฏิกิริยาที่ได้รับจากคนขับรถ คือโบกมือตอบกลับมาเพื่อปฏิเสธ แต่ทันทีที่รถตำรวจเลยไปประมาณ ๕ เมตรรถก็ได้หยุดลง และผมกับน้องเบิ้ลก็ได้วิ่งไปที่ประตูฝั่งผู้โดยสารและแจ้งว่า “ผมตกรถเมล์อมก๋อยจะเข้าเชียงใหม่ครับ รถเพิ่งออกไป”มีสัญลักษณ์มือจากบุคคลด้านหน้าคู่กับคนขับให้ผมขึ้นรถ โดยที่ผมไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ตอบกลับมา และไม่อยากรอคำตอบอื่น ผมกระโดดขึ้นในทันทีแล้วรถตำรวจก็ออกตัววิ่งตามรถเมล์ไปในทันใด
ห่างออกจากตัวอำเภออมก๋อยประมาณ ๕ กิโลเมตร ทันทีที่รถตำรวจวิ่งไปทันรถเมล์และแซงออกไป ก็มีเสียงประกาศจากในรถ”รถเมล์จอดรับผู้โดยสารด้วยครับ” ผมกับน้องเบิ้ล กระโดดลงจากรถตำรวจในทันทีพร้อมกับวิ่งไปหน้ารถฝั่งผู้โดยสาร ผมยกมือไหว้พร้อมกล่าวว่า “ขอบคุณครับ” กระจกรถไม่ได้ลดลงมา แต่ผมมีความรู้สึกว่าคนข้างในรถรับรู้ และยกมือโบกให้ผม
หลังจากที่ผมขึ้นรถเมล์นั่งไปได้สักประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ก็เห็นรถตำรวจจอดข้างถนน มีตำรวจ ๓ นายกำลังปฏิบัติหน้าที่สืบสวน อยู่ริมถนน