ประเพณีการตั้งชื่อเด็กเกิดใหม่

httpv://www.youtube.com/watch?v=an1knWDdJxQ พิธีกรรมการตั้งชื่อ จะทำพิธีกรรมเพื่อตั้งชื่อแบบชนเผ่า  จะทำขึ้นหลังจากที่เด็กเกิดมาแล้วประมาณ ๑ เดือนจึงจะทำพิธีกรรมนี้ได้

มิติใหม่…แพทย์ไทยอมก๋อย

ปกติผมจะไม่ค่อยได้ไปหาหมอสักเท่าไหร่ เพราะเคยทำงานโรงพยาบาลมาก่อน รู้ว่าคนที่ไปหาหมอพบแพทย์ เพราะเป็นที่พึ่งหรือความหวังสุดท้ายแล้ว ไม่ใช่เพราะผมเก่งเหมือนหมอ แต่ผมสังเวชและเห็นใจคนป่วยที่ต้องไปพบหมอแต่ละครั้ง ทั้งตัวผู้ป่วย และญาติต่างดูเศร้าหมอง ผมจึงพยายามพึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด ก่อนไปหาหมอที่เป็นทางเลือกสุดท้าย อมก๋อยหลายต่อหลายคน ไม่เคยได้ยิน ไม่รู้ว่าอยู่จังหวัดไหนในประเทศไทย ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ ไม่มีถนนผ่านไปจังหวัดอื่น ไม่มีอีกหลายอย่างที่อำเภออื่น ๆ เขามี และเพิ่งจะมี  7-Eleven ข้าราชการหรือคนของหน่วยงานราชการ เมื่อถูกย้ายมาอมก๋อย จึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ต้องมาอยู่ในดินแดนที่กันดารแห่งนี้ รู้สึกเหมือนถูกลงโทษ กักขัง หน่วงเหนี่ยวจากความศิวิไลซ์ แต่ก็เป็นเรื่องจริง แม้แต่ครู กศน.ในจังหวัดเชียงใหม่ ถ้ามีปัญหาในการทำงานที่อำเภออื่น ๆ อมก๋อยเป็นอำเภอแรกที่จะถูกส่งมาอยู่ ในมุมดี ๆ ของอมก๋อยคือข้าราชการ/พนักงานราชการที่บรรจุใหม่ ถูกส่งมาเริ่มงาน เพื่อฝึกให้ผ่าน มอก. ก่อน (มาตรฐานอมก๋อย) หากผ่านอมก๋อยไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ในประเทศไทยนี้ ต้นเดือนมกราคม ได้มีโอกาสพานักเรียนมาหาหมอ ด้วยอาการแปลก ๆ ในสายตาผมคือ ตรงข้อเข่าขาพับด้านใน มีก้อนน้ำนูนออกมา ผมก็ตกใจกลัวว่าโตขึ้นจะเป็นอะไรมากกว่าที่มองเห็น เพราะถามเด็กดูแล้วบอกไม่เจ็บ กดดูก็นิ่ม ๆ เมื่อมาถึงคุณหมอใจดี ดูแป๊บเดียว

ธรรมะสัญจร เดลิเวอร์รี่จากกรุงเทพฯ สู่อมก๋อย

เมื่อเดือน เมษายน ๒๕๕๓ ที่ได้มีโอกาสพาน้อง ๆ ชนเผ่ากะเหรี่ยงและมูเซอ ไปทัศนศึกษาที่กรุงเทพฯ และไปทะเลที่จังหวัดระยอง โดยมีผู้ใหญ่ใจดีหลาย ๆ ท่านให้การสนับสนุนงบประมาณ การไปในครั้งนั้น ได้มีโอกาสเข้าไปปฏิบัติธรรม ฝึกสติ เจริญปัญญา ที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพชรเกษม ๕๔ ระหว่างร่วมปฏิบัติธรรมตัวผมเองมีความรู้สึกสงบมาก ซึ่งปกติการจัดกิจกรรมแบบนี้จะมีเรื่องให้กังวล และต้องแก้ปัญหาต่าง ๆ มากมาย แต่เข้าไปปฏิบัติที่ยุวพุทธฯในครั้งนี้กลับรู้สึกสงบ จนแปลกใจ พอถึงกิจกรรมช่วงท้ายที่จะได้ ออกจากยุวพุทธฯได้สนทนากับพระมหาสมใจ สุรจิตฺโต (พระอาจารย์แตงโม) ที่เป็นพระอาจารย์วิทยากรในครั้งนั้น พระอาจารย์ก็ได้ปรารภว่าอยากมาช่วยจัดกิจกรรมให้ถึงอมก๋อย อันเป็นสถานที่ของเด็ก ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเดินทางไกล จึงได้ประสานงานกราบนมัสการ ขอคำปรึกษาจากพระอาจารย์เรื่อยมา จึงเป็นที่มาของกิจกรรม “อบรมปฏิบัติธรรมสัญจร เด็กชาวไทยภูเขา” ระหว่าง ๔ – ๗ มกราคม ๒๕๕๔ ในครั้งนี้ การจัดกิจกรรมที่เป็นลักษณะอบรมธรรมะในครั้งนี้ เป็นครั้งแรก แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจดี หลาย ๆ ท่านที่ทั้งบริจาคช่วย และระดมทุนมาช่วยจัดกิจกรรมซึ่งเป็นจำนวนเงินมากพอสมควร โดยไม่ได้งบประมาณของทางราชการแม้แต่บาทเดียว โดยมีพระมหาสมใจ 

เตาแกส เตาไฟ เตาอะไรทำไมร้อน

ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๓ คณะของพี่สุรัตน์จากจังหวัดระยอง ผู้ใหญ่ใจดีที่เคยสนับสนุนและเกื้อกูลตลอดมา ก็ได้มาเยี่ยมที่บ้านแม่ฮองกลาง การมาในครั้งนี้ของคณะพี่สุรัตน์ ได้นำมาซึ่งความอบอุ่นมามอบให้กับชุมชน นั้นคือการมอบผ้าห่มให้กับชาวบ้านแม่ฮองกลาง ๔๕ หลังคาเรือน โดยได้รับกันอย่างทั่วหน้าทุกหลังคาเรือน สำหรับเด็ก ๆ เองก็ได้รับรอยยิ้ม เหมือนเคยเพราะได้รับรองเท้าแตะคนละคู่ เป็นของฝากจากผู้ใหญ่ใจดี คณะคุณสุรัตน์ยังได้ฝากขนม และของฝากจากระยองไว้ ทำให้เด็ก ๆ บ้านแม่ฮองกลางสดชื่นตั้งใจเรียนและขยันขันแข็งในการทำงานตลอดเดือนธันวาคม แต่ที่สร้างความแปลกประหลาดและงุนงง ให้กับเด็ก ๆ และชุมชนอยู่ไม่น้อยคือเตาแกสที่คณะพี่สุรัตน์ได้ซื้อบริจาคไว้ให้ ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ได้รับสนับสนุนในศูนย์การเรียน ที่ว่าสร้างความงุนงง คือเด็ก ๆ และชาวบ้านสงสัยว่ามันติดไฟได้อย่างไร ไฟที่ติดทำไมเป็นสีฟ้า ไฟสีฟ้าทำไมมีความร้อน ผมต้องใช้เวลาอยู่ประมาณ ๒ สัปดาห์ในการสอนเด็กใช้งาน แต่ไม่อยากให้ใช้งานบ่อย เนื่องจากจะทำให้เด็กหลงลืมรากเหง้า และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ให้ใช้เฉพาะเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น และเนื่องจากการขนส่งลำบาก กว่าจะเอาขึ้นมาได้ ๗๐ กว่ากิโล แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อเด็ก ๆ ใช้เตาแกสเป็น บอกให้ต้มน้ำเด็ก ๆ ก็จะใช้เตาแกสตลอด จนต้องออกกฎว่าห้ามใช้เตาแกส ถ้าจะใช้เตาแกสทำอะไรต้องแจ้งครูทุกครั้ง ซึ่งแน่นอน ผมไม่ค่อยอนุญาตให้เด็กใช้เตาแกส เพราะจะเกิดความเคยชิน

โชคชะตากำหนดชีวิคคุณยายบังพอ

บางทีอาจจะเรียกว่าชีวิตบัดซบเลยก็ได้ สำหรับคุณยายบังพอ และตั๊กแตนตัวหนึ่ง คุณยายบังพอโชคร้ายที่ญาตพี่น้องได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว และไม่มีลูกหลานช่วยดูแล ทำให้ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ได้ยินแล้วต้องอึ้งไปสักพักใหญ่ทำไมโชคชะตาถึงได้กลั่นแกล้งชีวิตของยายบัง พอได้ขนาดนี้ ถึงขนาดที่ต้องไปเก็บเมล็ดข้าวที่ชาวบ้านทำหล่นไว้ในไร่ เพื่อรวบรวมมาเป็นอาหารในแต่ละมื้อเก็บเศษข้าวโพด แตงที่ชาวบ้านไม่เอาแล้ว หรือผลไม้ป่ามาประทังชีวิต ตั๊กแตนตัวสีเขียว ๆ นี้เป็นอีกตัวที่พยายามสู้ชีวิต ไม่รู้ว่าเจ้าตั๊กแตนตัวน้อย ๆ ไปทำกรรมอะไรไว้ โดนมนุษย์รังแก ถ้าเอาไปกินเป็นอาหารก็ว่าไปอย่างแต่นี่ เหมือนเอามีดตัดตัวหายไป แต่ยังไม่ตาย พยายามดิ้นรน เพื่อให้มีชีวิตรอด น่าจะโดนทำร้ายร่างกายจากน้ำมือมนุษย์ มานานแล้ว เพราะดูจากแผลน้ำเหลืองน้ำเลือดแห้งแล้ว และตั๊กแตนตัวนี้ วิ่งผ่านหน้าผมโดยบังเอิญ จึงช่วยได้แค่พาไปอยู่ในสวนเกษตร ให้กินใบไม้ใบหญ้า ประคองชีวิตต่อไป คุณยายบังพอ ได้รับการช่วยเหลือจากเงินระดมทุนเพื่อกิจกรรมการศึกษา ๒,๐๐๐ บาท และครูวี ครูอาสาสมัครผู้ใจดี แห่งหุบเขาขุนน้ำแม่ฝางหลวงได้บริจาคสมทบเข้าช่วยเหลือ ๑,๐๐๐ บาท เป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๐๐๐ บาท ศศช.บ้านแม่ฮองกลาง ได้มอบผ้าห่ม และเสื่อ อย่างละ ๑ ผืน เป็นเครื่องบรรเทาความทุกข์ยาก และช่วยประทังชีวิต ของคุณยายบังพอ ถึงแม้จะน้อยนิด แต่ก็หวังว่าคงทำให้คุณยายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมาบ้าง

บุกเบิกอมก๋อย…เป็นครั้งแรก

นับตั้งแต่กิจกรรม “ครูอาสาลาพักร้อนมาสอนเด็กดอย” เกิดขึ้น ครั้งนี้มีหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นที่นี่…เป็นครั้งแรก จัดกิจกรรมครูอาสา ที่อมก๋อย เป็นครั้งแรกครูอาสาหลาย ๆ ท่านมาอมก๋อย เป็นครั้งแรกครูอาสาบางท่าน มาภาคเหนือ เป็นครั้งแรกมีครูอาสา เป็นข้าราชการครู เข้าร่วมกิจกรรม เป็นครั้งแรกมีครูอาสา ที่เป็น ผอ.โรงเรียน เข้าร่วมกิจกรรม เป็นครั้งแรกมีครูอาสาหลาย ๆ ท่านเห็นความลำบากสุด ๆ ในชีวิต เป็นครั้งแรกมีครูอาสา ที่เป็นนายจ้าง และลูกจ้าง มาร่วมกิจกรรมด้วยกัน เป็นครั้งแรกมีครูอาสา ร่วมเป่าเทียนวันเกิด ในกิจกรรม และเป็นครั้งแรกที่ ครูศักดิ์ จาก ศศช. บ้านห้วยบง ที่ขับรถยนต์พาครูอาสาขึ้นไปบ้านแม่ฮองกลาง  😛 (ปกติไปถึงแค่น้ำห้วย) เมื่อเป็นครั้งแรก มันจึงเกิดความผิดพลาด เล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้นรถเมล์จากเชียงใหม่ที่คาดว่าจะมาส่งครูอาสาในเวลาไม่เกิน ๑๒.๓๐ – ๑๒.๕๐ กว่าจะมาถึงอมก๋อย ก็ปาเข้าไป ๑๓.๑๕ ช้าไป ครึ่งชั่วโมงรถรับส่งครูอาสาที่เตรียมไว้

เดินทางเข้าไปแม่ฮอง…โหด

จากปากคำอาสาอดีตนักศึกษารามคำแหง “แม่ฮอง…โหด” เป็นคำพูดของคุณเปิ้ล และเพื่อน ๆ ทีมคณะอาสาที่เข้ามาเมื่อวันที่ ๒๖ พ.ย. ๒๕๕๓ และได้กลับออกจากหมู่บ้านเมื่อ ๒๙ พ.ย. ๕๓ ระยะเวลา ๔ วัน ๓ คืน ของอาสาคณะนี้ การเดินทาง ๕๐ กิโลเมตรแรก สามารถพบได้ทั่วไปในประเทศไทย ๑๒ กิโลเมตรหลัง พบได้เฉพาะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง เป็นภูเขาดินเหนียว จุดที่มีน้ำขังในฤดูฝน จะทำให้ถนนเละ ส่วนจุดที่เป็นเนินเมื่อถูกน้ำฝนเข้าไปจะทำให้ถนนลื่นสุด ๆ ขับรถมอเตอร์ไซด์ขึ้นดอย ครูดอยจึงต้องคอยเตือนตนเองตลอดเวลา ว่าห้ามแตะเบรค มิฉะนั้นมีสิทธิ์ล้มแบบไม่รู้ตัว ๘ กิโลเมตรสุดท้าย จากบ้านห้วยบงเข้าไปบ้านแม่เกิบ บ้านแม่ฮองกลาง เป็น ๘ กิโลเมตรที่สร้างความประหวั่นพรั่นพรึง ให้กับคณะอาสาคณะนี้พอสมควร เนื่องจากพื้นที่แบบนี้มีเฉพาะที่ กลุ่มบ้านแม่ฮองเท่านั้น เมื่อย่างเข้าฤดูหนาว น้ำระเหยดินแห้ง การเดินทางก็สะดวกขึ้นมามากพอสมควร จากปกติที่เดินทาง ๔-๕ ชั่วโมง ก็ใช้เวลาเพียงแค่ ๓-๔ ชั่วโมง ค่ายนี้ถึงแม้จะมีผู้ร่วมทีมแค่

ทำผิดประเพณี เพราะไปช่วยตีข้าว

ขึ้นดอยไปเดือนพฤศจิกายนนี้ เด็กโตส่วนใหญ่ไปช่วยงานตีข้าวในไร่จึงทำให้ขาดเรียนไปหลายคน สาย ๆ ของวันหนึ่งหลังจากที่สอนไปได้สักพัก และให้งานเด็ก ๆ ทำในศูนย์การเรียนฯ ผมจึงได้เดินทางไปไร่ข้าวเพื่อไปดูเด็ก ๆ ตีข้าวช่วยพ่อแม่ผู้ปกครอง เมื่อไปถึงไร่ข้าวหลังจากที่ถามไถ่ เรื่องการเกี่ยวข้าว ตีข้าว และผลผลิตของปีนี้แล้ว ผมก็สวมวิญญาณลูกชาวนาอิสานบ้านเกิด ที่มันฝังอยู่ในสำนึก เดินเข้าไปช่วยตีข้าวในทันที ไปเยี่ยมดูเด็ก ๆ ที่กำลังตีข้าวช่วยพ่อแม่อยู่ ๔ ที่ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ผมเข้าไปช่วยเด็กและผู้ปกครองตีข้าวไป ๒ ที่ ในการเข้าไปในไร่ข้าว เขาจะเดินผ่านสถานที่ตีข้าวไม่ได้ น้องยงยุทธเด็กที่ไปด้วย จะคอยเดือนตลอดว่าไม่ให้เดินผ่ากลางสถานที่ตีข้าว ให้เดินอ้อมไป เวลาจะกลับก็ให้กลับทางเดิม ซึ่งเป็นประเพณีความเชื่อของชุมชน แต่ที่ผมทำผิดไปโดยไม่รู้ตัว และไม่ได้รับการเตือนก่อนคือการเข้าไปช่วยตีข้าว ๒ ที่ ที่ไปดูเด็ก ๆ ช่วยผู้ปกครองตีข้าว ที่บอกว่าทำผิดเพราะชุมชนกะเหรี่ยงที่นั่นมีความเชื่อว่า ถ้าตีข้าวจะต้องไปตีตลอดจนกว่าจะเสร็จ ไม่เช่นนั้นแล้วจะได้ข้าวในปริมาณน้อยลง ผมก็พยายามชี้แจงกับเด็ก ๆ ว่าข้าวที่เกี่ยวมาแล้วกองอยู่ที่เดียวกัน มันจะลดลงได้อย่างไร เกี่ยวมาเท่าไหร่ ก็ได้เท่านั้น มันจะเพิ่มขึ้น หรือลดลงไม่ได้ เป็นความเชื่อประเพณีของชุมชนจริงเพราะหลังจากนั้น ผมได้รับคำแซวจากผู้ใหญ่ในชุมชนว่า

ทากกัดที่อมก๋อย .. แบบไม่รู้ตัว

ประสบการณ์สมัยเป็นเด็ก ของเด็กบ้านนอกเคยโดนปลิงกัด ปลิงเป็นสัตว์น้ำ ไร้กระดูกสันหลัง ที่คอยดูดเลือกจากวัวควาย ที่ลงไปกินน้ำ เล่นน้ำ ซึ่งสมัยเป็นเด็ก อยู่บ้านนอกเห็นเป็นประจำ ทำให้ผมไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ กับการถูกปลิงกัด เพราะกัดไม่เจ็บ พอเอาตัวปลิงออกจากขา ๕-๑๐ นาทีเลือดก็หยุดไหล ทาก เป็นสัตว์คล้ายปลิง ไม่มีกระดูกสันหลัง แต่มันอาศัยอยู่บนบก ที่ชุ่มชื่น แฉะ ทากเป็นสัตว์ที่ร้ายกาจ เข้ามากัดโดยไม่รู้ตัว และไม่เจ็บ เมื่อทากกัดทากจะปล่อยสารเคมีในตัวชนิดหนึ่ง ออกมาใส่บาดแผลที่มันกัด ทำให้เลือดไหลไม่หยุด กว่าเลือกจะหยุดไหลอาจจะต้องใช้เวลา ๔ – ๘ ชั่วโมง ผม ถูกทากกัดเมื่อหลายปีก่อนโน้น สมัยยังเป็นวัยรุ่น ไปเที่ยวภูกระดึง นั่นทำให้ผมได้รู้จักกับเจ้าสัตว์ไร้กระดูกสันหลัง หรือที่ผมจะเรียกมันว่า “ปลิงบก” เป็นครั้งแรก เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมได้เดินเท้าไปบ้านห้วยหวายเป็นระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นทาก ที่อำเภออมก๋อย ไปอยู่ไชยปราการ ๒ ปีกว่า ไมเคยเห็นทากสักตัว การเดินทางไปครั้งนี้จึงเป็นการไปอย่างระมัดระวัง “ทาก” อย่างเป็นที่สุด ครู ๒

คำถามนั้นไม่เคยลืม เมื่อมาเป็นครูอาสา

อย่างที่เคยเล่าไว้ว่า เหตุผมที่ผมเลือกมาเป็นครูอาสา บ้านแม่ฮองกลาง ตำบลนาเกียน อำเภออมก๋อยมีเหตุผลง่าย ๆ ๑. ได้ปรึกษาพี่แอ๊ะโรงเรียนของหนูว่า “สอบเป็นครูอาสาได้” พี่แอ๊ะใจดีแนะนำให้ลงพื้นที่ตำบลนาเกียนหรือสบโขง ที่ยังต้องการความช่วยเหลืออยู่ ๒. ไม่รู้จะเลือกลงพื้นที่อย่างไร หมู่บ้านนี้ไม่เคยรู้จักมาก่อน แม้แต่อำเภออมก๋อยก็ยังไม่เคยมา เลยเลือกเพราะเลขตำแหน่ง ๘๔๘ เลขสวยดี หลังจากสอบติด ก็ได้รับกำลังใจจากครูอาสาที่เคยร่วมกิจกรรมด้วยกัน โดยมีอยู่ ๓ คนที่เป็นส่วนสนับสนุนการตัดสินใจให้ผมมาอมก๋อย ๑. พี่สุรัตน์ผู้อยู่เบื้องหลังหลาย ๆ กิจกรรม บอกว่า “คนต้นทุนต่ำ ไม่มีอะไรจะเสีย ทำอะไรดี ๆ ย่อมดีมากกว่าเสีย” ๒. ครูพี่จิ๋วอาสารุ่น ๑ บอกว่า “พร้อมที่จะเป็นกำลังใจและช่วยเหลือสนับสนุน ในกิจกรรมเพื่อเด็กดอยเสมอ” ๓. อีเมวจากครูโอเล่อาสารุ่น ๑, ๒ ว่า “แบ้งค์พัน ถึงจะอยู่ที่ไหน ค่าก็อยู่ที่ตัวของมัน แม้อยู่ในถังขยะ ค่าก็ไม่ได้ลดลงไป” เมื่อตัดสินใจมาเป็นครูอาสา ทำให้ผมนอนไม่หลับอยู่หลายคืน เพราะกังวลกับพื้นที่ใหม่ ก่อนเดินทางมารายงานตัว ๒ วันก็ได้รับคำแนะนำดี

Copy Protected by Chetan's WP-Copyprotect.